App Store Freedom Act (H.R. 3209) ร่างกฎหมายที่ได้รับการเสนอ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ Kat Cammack (R-FL)
โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการแข่งขันในตลาดแอปพลิเคชันมือถือ และลดอำนาจผูกขาดของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแอปสโตร์รายใหญ่ เช่น Apple และ Google
📱 เนื้อหาหลักของร่างกฎหมาย
ร่างกฎหมายนี้มีข้อกำหนดสำคัญหลายประการ ได้แก่:
- เปิดให้ติดตั้งแอปสโตร์ของบุคคลที่สาม
ผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการที่มีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ เกิน 100 ล้านคน ต้องอนุญาตให้ผู้ใช้ติดตั้งและตั้งค่าแอปสโตร์ของบุคคลที่สามเป็นค่าเริ่มต้นได้ - ให้สิทธิ์นักพัฒนาเข้าถึงเครื่องมือและฟีเจอร์อย่างเท่าเทียม
นักพัฒนาต้องได้รับการเข้าถึงอินเทอร์เฟซ ฟีเจอร์ และเครื่องมือพัฒนาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายและไม่มีการเลือกปฏิบัติ - อนุญาตให้ผู้ใช้ลบหรือซ่อนแอปที่ติดตั้งมาล่วงหน้า
ผู้ใช้สามารถลบหรือซ่อนแอปพลิเคชันที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ได้ตามต้องการ - ยกเลิกข้อจำกัดด้านการชำระเงินภายในแอป
ห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการแอปสโตร์บังคับให้นักพัฒนาใช้ระบบชำระเงินภายในแอปของตนเองเท่านั้น และต้องอนุญาตให้มีตัวเลือกการชำระเงินจากบุคคลที่สาม . - บทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม
หากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด อาจถูกปรับสูงสุดถึง 1 ล้านดอลลาร์ต่อการละเมิดหนึ่งครั้ง โดย Federal Trade Commission (FTC) จะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย
💡 เหตุผลและแรงจูงใจเบื้องหลัง
ร่างกฎหมายนี้เกิดขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับการผูกขาดและการควบคุมตลาดของผู้ให้บริการแอปสโตร์รายใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ:
- ผู้บริโภค: มีทางเลือกน้อยลงและอาจต้องจ่ายราคาที่สูงขึ้นเนื่องจากขาดการแข่งขัน.
- นักพัฒนา: ต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงเครื่องมือและการกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรม
- นวัตกรรม: การควบคุมที่เข้มงวดอาจขัดขวางการพัฒนาและการนำเสนอแอปพลิเคชันใหม่ๆ
⚖️ เสียงสนับสนุนและคัดค้าน
เสียงสนับสนุน:
- กลุ่ม Coalition for App Fairness ซึ่งประกอบด้วยบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง สนับสนุนร่างกฎหมายนี้ โดยเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการแข่งขันและลดการผูกขาดในตลาดแอปพลิเคชัน
เสียงคัดค้าน:
- บางฝ่ายแสดงความกังวลว่าการเปิดให้ติดตั้งแอปสโตร์ของบุคคลที่สามและการยกเลิกข้อจำกัดด้านการชำระเงินภายในแอป อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
ร่างกฎหมาย App Store Freedom Act นี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและเป็นธรรมสำหรับทั้งผู้บริโภคและนักพัฒนา
ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การส่งเสริมการแข่งขันและการลดการผูกขาดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเติบโตและพัฒนาไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน
